ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล
ชีวิตของคนๆ หนึ่งอาจมีจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ที่ทำให้ใครคนนั้นเติบโต หรือไม่ก็ตกต่ำ เมื่อเราเฝ้าสังเกตชีวิตในระยะเวลาที่ยาวนานสักหน่อย
สำหรับพี่แมรี่เมื่อเท้าความกลับไป ชีวิตของเธออาจจะเริ่มต้นจริงๆ เมื่อเธออยู่ในช่วงวัยรุ่นที่ถูกท้าทายในชั้นเรียนปริญญาโท
ที่สหราชอาณาจักร ด้วยสายตาเย้ยหยันหรืออาจจะเป็นการดูแคลนในห้องเลคเชอร์ที่มหาวิทยาลัย ได้เปลี่ยนเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเธอคืออะไร ให้กลายมาเป็นดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น

กรุงเทพฯ
พี่แมรี่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง และถูกฟูมฟักจากพ่อแม่ที่มีทัศนะที่เปิดกว้าง จึงมีอิสระพอควรในการเรียน เล่น และเที่ยวกับเพื่อน ความเข้มงวดและแรงกดดันในการเรียนมีไม่มาก เธอจึงมีชีวิตวัยรุ่นที่สนุกสนาน จนบางครั้งเป้าหมายในชีวิตจึงไม่ถูกตั้งปักหมุดหมายเอาไว้ การเรียนจนกระทั่งจบปริญญาตรีในเมืองไทยจึงเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจ
ในการเป็นอะไร ชีวิตทางการงานดูแล้วก็ราบรื่นเพราะมีธุรกิจของครอบครัวให้สานต่อ การเรียนบริหารธุรกิจก็ตอบโจทย์ในตัวมันเองอยู่แล้ว และพี่แมรี่ก็พอใจในชีวิตแบบนี้พอสมควร เว้นเสียแต่ว่าเธอชื่นชอบดูและอ่านข่าวต่างประเทศเป็นชีวิตจิตใจ
เธออาจไม่ได้ให้ความสนใจนี้เป็นสิ่งพิเศษ แต่พ่อและน้องสาวของเธอสังเกตเห็น
มองในมุมตัวตนภายใน บรรยากาศในครอบครัวดูเหมือนจะบ่มเพาะหล่อหลอมความเป็นเธอในอนาคต และรวมไปถึงบุคคลิกภาพของเธอเอาไว้อย่างมีขั้นตอน พ่อของพี่แมรี่เป็นนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมืองเก่าแก่ เธอจึงมีโอกาสได้พบปะแม้จะไม่ได้คลุกคลีอย่างจริงจัง แต่เธอก็ได้รับรู้ผ่านสัญชาตญาณที่เธอค่อยๆ สั่งสม จากบทสนทนาบางบท ประเด็นการเด็นการเมืองบางประการ
ความขัดแยังการต่อรองและการสร้างสมดุลของสายสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศของมิตรสหาย และการทำงาน
พ่อเป็นคนหนึ่งซึ่งมีบทบาทในการให้ความรู้ ประวัติศาสตร์ทางการเมือง และประวัติความเป็นมาของบุคคลผ่านเรื่องเล่าที่ในวัยเด็กซึ่งเธอรู้สึกว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน สิ่งเหล่านั้นคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในความเป็นตัวเธอไม่มากก็น้อย
สหราชอาณาจักร
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในเมืองไทย น้องสาวของเธอได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษอยู่ก่อนแล้ว และได้แนะนำให้พี่แมรี่สนใจวิชารัฐศาสตร์ เพราะความสนใจข่าวต่างประเทศตั้งแต่เด็กและบรรยากาศการเมืองที่ล่องลอยอยู่รอบตัว เธอเห็นว่ามันก็น่าสนใจดีและไม่เสียหายอะไรหากจะลองดู
วันหนึ่งเธอก็พบตัวเองอยู่ในห้องเลคเชอร์มหาวิทยาลัยในมิดแลนด์ท่ามกลางนักศึกษาจำนวนหนึ่ง และโปรเฟสเซอร์ที่มีชื่อเสียงในสาขาวิชารัฐศาสตร์ โปรเฟสเซอร์มองมาที่เธอ, นักศึกษาสาวชาวเอเชีย, ในห้องเลคเชอร์ว่าด้วยวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แล้วถามว่า ได้อ่านตำราเล่มไหนมาบ้างในลีสต์หนังสือที่ต้องอ่าน
คุณเข้าใจความรู้สึกนี้ไหม - นักศึกษาที่ผ่านการเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ภาษาอังกฤษพอได้ และเลือกไปเรียนต่อต่างประเทศ ต้องเรียนภาษาเพิ่มเติมที่ประเทศเจ้าของภาษาอีกอย่างน้อยหกเดือนถึงหนึ่งปี ที่มหาวิทยาลัยในเวลส์เธอเข้าห้องเลคเชอร์ปริญญาโทวันแรกคนละสาขากับที่คุณเคยเรียนมาแล้วถูกโปรเฟสเซอร์ถามท่ามกลางนักศึกษาชาวต่างชาติเต็มห้อง ต่อให้คุณเป็นคนเรียนดีก็เถอะ คุณคงนึกสภาพเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญกว่านั้นลีสต์หนังสืออะไรพี่แมรี่ไม่รับรู้ และไม่ได้อ่านอะไรไปสักเล่มเดียว
ความเงียบ - เป็นคำตอบของนักศึกษาสาวชาวเอเชียคนนั้น
สายตาของเพื่อนร่วมห้องมองมาที่เธอหรือเปล่าเธอไม่ได้รับรู้ เพราะสายตาของคนที่ถามมองมาอย่างว่างเปล่า อาจเป็นการตำหนิติเตียน เป็นความอิดหนาระอาใจ หรือเป็นการดูแคลนก็แล้วแต่และถึงแม้จะไม่ชอบสายตาที่มองมาแบบนั้น แต่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความจริงที่ว่าเธอไม่ได้เตรียมตัวไปอย่างที่ควรจะทำ พี่แมรี่มองว่ามันเป็นความท้าทายที่เธอจะเอาชนะสายตาแบบที่มองมา วันรุ่งขึ้นเธอพบตัวเองในห้องสมุดตั้งแต่เช้าจนค่ำ อ่านหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในลีสต์ และหนังสืออื่นๆประกอบความเข้าใจ กระทั่งผ่านปริญญาโทมาได้อย่างราบรื่น และกลายมาเป็นก้าวแรกของความเป็น ดร.พิมพ์รภัช ในเวลาไม่ช้าไม่นานต่อมา
อินเดีย
เธอไม่ชอบอินเดีย ความสกปรก ความเจ้าเล่ห์ ต่างๆนานาที่เป็นมายาคติ ทำให้เธอไม่คิดว่าชีวิตนี้จะไปอินเดีย แต่ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจ นโยบายความมั่นคง การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถานกลับเป็นความสนใจหลักในการศึกษาขั้นปริญญาเอกของเธอ ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ ยิ่งรู้ยิ่งอยากรู้มากขึ้น พี่แมรี่ยื่นหัวข้อศึกษาปริญญาเอกไปที่มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์ซึ่งมีศิษย์เก่าเป็นคนมีชื่อเสียงในแวดวงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โปรเฟสเซอร์ชาวฝรั่งเศสตอบรับหัวข้อศึกษาของเธอ สามปีที่เธอค้นคว้าอยู่ในห้องสมุดและสอบผ่านใครการยื่นวิทยานิพนธ์ในคราวเดียว โดยมีความท้าทายต่อมาว่าเธอต้องไปสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องในฝ่ายความมั่นคงและการฑูตของอินเดีย
“เราไม่ชอบการท้าทาย ถ้ามีใครมาท้าทายเราต้องเอาชนะ”
เธอเดินทางไปอินเดีย เริ่มต้นจากคอนเน็คชั่นบุคคลในฝ่ายความมั่นคงที่โปรเฟสเซอร์แนะนำให้สัมภาษณ์ จากนั้นเครือข่ายบุคคลขยายออกไปผ่านการแนะนำจากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งเ เธอทำงานในห้องสมุด, สำนักงานความมั่นคง, สถานฑูต, สโมสรกีฬา เพื่อเก็บข้อมูลภาคสนาม เหมือนกับการพล็อตจุดเพื่อโยงให้เกิดเป็นภาพ
สามเดือนในอินเดีย ด้วยการเป็นต่างชาติและเป็นผู้หญิงที่มาศึกษาวิจัยในวงล้อมของผู้มีอำนาจของฝ่ายความมั่นคง นักการฑูต และนักวิชาการ อาจเป็นข้อยกเว้นในโลกของชายเป็นใหญ่ พี่แมรี่ได้รับการเอื้อเฟื้อและช่วยเหลืออย่างที่ควรจะได้รับ จากที่เคยเกลียดกลายเป็นหลงรักอินเดีย นอกเหนือไปจากมิตรภาพของผู้คนและอาหาร พี่แมรี่บอกว่าการเข้าถึงคนในอำนาจในปัจจุบัน และคนที่เคยมีอำนาจนั้นง่ายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมการดูแลต้อนรับผู้มาเยือน และการให้คุณค่ากับการศึกษาวิจัย
ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ
หลังเรียนจบพี่แมรี่พบว่าตัวเองไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ เพราะทุกอย่างดูยากลำบากไปหมด การจะเดินทางไปแต่ละที่นั้นลำบากยากเย็น การจะปรับตัวก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเพราะเคยชินกับระบบที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตในยุโรปซะแล้ว เธอเลือกที่จะทำงานในต่างจังหวัดมากกว่า
ด้วยสายสัมพันธ์อันดีของคนรุ่นพ่อเธอได้ทำงานในแวดวงธุรกิจ ในสายงานของการบริหาร นับตั้งแต่โรงแรมในจำปาศักดิ์ที่เป็นเมืองมรดกโลก เรือสำราญในภูเก็ต และบริหารจัดการ เปิดเส้นทางใหม่ๆของสายการบิน เธอได้ฝึกฝนทักษะการเจรจาต่อรอง และร่วมงานกับคนในหลายระดับ ซึ่งรวมไปถึงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่
มาเลเซีย
การทำงานในสายธุรกิจในช่วงเวลาราวสี่ปีเหมือนการพักผ่อนก่อนที่จะกลับเข้ามาในแวดวงรัฐศาสตร์ ที่ซึ่งต้องยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อน ต้องมองหลายชั้น และต้องมองให้ทะลุ ซึ่งความคิดมันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เธอบอกว่ามันค่อนข้างใช้พลังงานมากเพราะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามไม่ช้าไม่นานนักเธอก็กลับเข้ามาทำงานในองค์การระหว่างประเทศ เป็นเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิฟรีดิช เนามัน ประจำอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเวลาที่ภาคการเมืองของมาเลเซียอยู่ในระหว่างการก่อร่างสร้างตัวอีกครั้ง พี่แมรี่มีส่วนเข้าไปพัฒนาประชาธิปไตย การสร้างสมดุลในอำนาจ และช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้ดำ โดยใช้ประสบการณ์จากการทำงานภาคธุรกิจในการประสานหาความร่วมมือจากหลายฝ่ายกับคนหลากหลายอาชีพ
ความคุ้นชินกับคนในอำนาจตั้งแต่วัยเด็กซึ่งเป็นธรรมชาติของเธอ ความเข้าใจถึงภาพรวมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ทำให้เธอเห็นความเป็นไปของกลไกที่ผสมผสานระหว่างธุรกิจและการเมือง และพยายามสร้างสมดุลของอำนาจบนพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพตามคุณค่าของประชาธิปไตยเสรีซึ่งเป็นแกนหลักของมูลนิธิฟริดริช เนามัน
ในช่วงเวลาที่บ่มเพาะประชาธิปไตยในมาเลเซีย นอกจากจะเข้าใจคนในอำนาจภาคการเมือง ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม พี่แมรี่ได้ทำความรู้จักกับอำนาจของสื่อ - ฐานันดรที่สี่ ซึ่งในขณะนั้นมีองค์กรสื่อใหม่ๆ เกิดขึ้น พวกเขามีส่วนอย่างมากในการสร้างความเข้าใจในหลักการของประชาธิปไตย และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
กรุงเทพ ฯ
แม้จะรักมาเลเซีย มีความสุขกับงานที่ทำ แต่ถึงที่สุดแล้วก็ถึงเวลากลับบ้าน พี่แมรี่ย้ายมาสำนักงานฟริดิช เนามันที่กรุงเทพฯ ในฐานะผู้ประสานงานโครงการ ในปี 2554 ซึ่งโครงการล่าสุด Thailand Talks ที่เพิ่งจัดไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 เพื่อให้คนเห็นต่างได้มีพื้นที่และโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะได้อย่างตรงไปตรงมา
“คนเห็นต่างคุยกันได้ไหม” คงเป็นคำถามที่คนไทยท่ามกลางวิกฤตการเมือง และวิกฤตศรัทธา ที่ยาวนานเกือบสองทศวรรษควรจะเป็นคนตอบ
.
*สัมภาษณ์เดือนพฤศจิกายน 2021
วิดีโอสัมภาษณ์และความเรียงชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Thailand Talks 2022 “เห็นต่างคุยกันได้” โดยมูลนิธิฟรีดริช เนามัน
เผยแพร่ครั้งแรกบน Website The Active กรกฎาคม 2022 - กันยายน 2022
สัมภาษณ์ ความเรียง และวิดีโอ โดย ศุภชัย เกศการุณกุล
บรรณาธิการ อรุชิตา อุตมะโภคิน บรรณาธิการข่าว ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ Thai PBS
เผยแพร่บน The Active
ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล
https://theactive.net/video/rights-20220823/
https://theactive.net/read/pimrapaatd-interview/
*วิดีโอเวอร์ชั่นนี้เป็นเวอร์ชั่นอย่างไม่เป็นทางการ สำหรับเวอร์ชั่นที่เผยแพร่ผ่าน The Active สามารถดูได้จาก Link ที่ระบุไว้ในหมายเหตุของวิดีโอ
www.momoest.com