พลอย เดชวงษา
พลอยเป็นตัวละครหนึ่งใน มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ ที่ภรณ์ทิพย์ มั่นคง เล่าไว้ในหนังสือ
เธอเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้ภรณ์ทิพย์มีที่หลบออกไปจากโลกของการถูกคุมขังทางจิตใจชั่วคราว และภรณ์ทิพย์ก็เป็นที่หลบออกไปจากความยากลำบากของพลอยเหมือนกัน ทั้งคู่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จนถึงวันที่ทั้งคู่ออกมาจากเรือนจำต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ในบางครั้งทั้งคู่ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อบอกเล่าถึงคุณภาพชีวิตในเรือนจำภายใต้กลุ่ม Fairly Tell
พลอยติดคุกครั้งที่สองขณะท้องได้ห้าเดือน ในเรือนจำเธอพยายามเก็บหอมรอมริบเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ดูแลลูกของเธอ ในวันที่จะคลอดเธอได้รับอณุญาตให้ออกจากเรือนจำไปโรงพยาบาลได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นโดยนั่งบนรถคุมขังนักโทษอยู่ท้ายรถกระบะที่มีลูกกรง หอบหิ้วของใช้ประจำตัวไปด้วยตัวเอง กับโซ่ตรวนที่ข้อมือ

พลอย เดชวงษา
พลอยติดคุกมาแล้วสองครั้งเพราะค้ายาเสพติด สมัยเป็นวัยรุ่นพลอยช่วยชายหนุ่มของเธอรับและขายยาเสพติดในยุคที่การปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างเข้มข้น นักค้ายา เด็กเดินยา ตายเหมือนใบไม้ร่วง ตำรวจมีอำนาจล้น และสิทธิมนุษยชนยังเดินทางไปไม่ถึง แต่วัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้าปี อย่างพลอยไม่รับรู้ถึงความโหดร้ายแต่อย่างใด เธอไปรับยาเม็ดละร้อย หมื่นกว่าเม็ดใส่กระเป๋า เดินเล่นตามห้าง ซื้อของ กินข้าวอย่างไม่หวาดกลัว ทำบ่อยๆ เข้าจนเป็นเรื่องง่าย มองข้ามความหน้ากลัวไป ในขณะที่คนอื่นรีบกลับที่พักซ่อนของก่อนจะนำออกมาขาย พลอยซื้อขายเหมือนเป็นของธรรมดาจนกระทั่งเธอถูกตำรวจล่อซื้อ และถูกพิพากษาจำคุกนานสี่ปี เธอแยกทางกับแฟนและทิ้งลูกไว้ให้แม่แฟนช่วยดูแล
หลังออกจากคุกเธอบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก แม้จะอยู่ในสังคมแบบเดิม เพื่อนกลุ่มเดิม พลอยหางานทำ ดูแลลูก และหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
ชีวิตของพลอยไม่ได้สุขสบาย เธอเติบโตที่สมุทรสงคราม สนุกกับการวิ่งเล่นในสวน แต่ต้องย้ายเข้ากรุงเทพฯ กับครอบครัว จนกระทั่งเป็นวัยรุ่นติดเพื่อน เธอหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนตั้งแต่อายุสิบห้า และทำงานทุกอย่างที่เด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดปีจะพอทำได้หาเลี้ยงตัวเอง โดยมีแม่ของเพื่อนคอยดูแลอยู่ห่างๆ
“หนูถามตัวเองว่าทำไมครอบครัวเราไม่เหมือนคนอื่น บ้านเพื่อนมีอิสระ แต่บ้านเรามีกรอบเต็มไปหมด ทำไมต้องเข้มงวดกับเราขนาดนี้ หลังเลิกเรียนสิบห้านาทีหนูต้องกลับถึงบ้าน แม่หนูเข้มงวดมาก พี่ลองคิดดู หนูเรียนอยู่แถววิภาฯ แต่ไม่เคยไปเซ็นทรัล ลาดพร้าวเลยสักครั้ง”
“แล้วครั้งที่ทำให้หนูตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพราะถูกแม่ยึดโทรศัพท์ ฟิวส์ขาดเลย ตอนเช้าออกจากบ้านหนูเก็บทุกอย่างที่จำเป็นใส่กระเป๋านักเรียน แล้วโทรไปบอกแม่ว่าหนูไม่อยู่แล้วนะ แม่นึกว่าหนูพูดเล่นเลยบอกว่า ให้ไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”
หลังจากโทรศัพท์ครั้งนั้น เธอก็ไม่ติดต่อกลับหาแม่อีกเลยด้วยทิฐิและความรั้น
“ใช้ชีวิตด้วยตัวเองก็ลำบากอยู่ ลำบากมาก แต่มีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ เรากำหนดชีวิตของเราเอง”
วันเวลาผ่านไปยายที่เธอติดต่ออยู่สม่ำเสมอบอกว่าพ่อใหญ่อาการไม่ดีอยู่โรงพยาบาล ถ้าอยากมาเยี่ยมก็มาแต่ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร เธอตัดสินใจไปเยี่ยมพ่อใหญ่คนที่เธอเคารพรักและพบว่าเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พลอยดูแลพ่อใหญ่ที่โรงพยาบาลและได้พูดคุยกับแม่หลังจากไม่พบกันหลายปี การได้คุยกันในวันที่เติบโตขึ้นทำให้พลอยเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ความตายของคนใกล้ชิดทำให้ระยะห่างที่เกือบกลายจะเป็นคนแปลกหน้ากลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม แม้ว่าจะไม่ได้กลับไปอยู่บ้านอย่างถาวร แต่เมื่อมีปัญหาพลอยจะกลับไปหาแม่ที่บ้านเสมอ
เหมือนชีวิตจะดีอย่างที่หวัง ถ้าเธอไม่รับโทรศัพท์สายนั้น
“เพราะความรำคาญ แฟนเพื่อนหนูมันโทรฯ หาหนูทั้งคืน เขาบอกให้ไปเอาของในบ้านให้หน่อย ตอนนั้นหนูก็ท้องได้ 5 เดือน หนูไปที่บ้านมันเห็นเพื่อนอยู่กับลูก หนูก็เลยเอาวะ เอาของไปให้แฟนมันเอง มันจะได้อยู่กับลูก ซึ่งหนูไม่ยุ่งกับยาเลยหลังออกมาจากคุก แต่หนูช่วยเพื่อนตัดความรำคาญ
ไปถึงพอเปิดประตูบ้านเพื่อน ตำรวจรู้หมดแล้วว่าเรามาเพื่ออะไรและจะเอาของอะไรมาส่ง ตำรวจยี่สิบกว่าคนล้อมหนู เอาปืนจ่อ หนูเลยเอาของกลางออกมา รู้แล้วว่าเราโดนแน่ แต่ไม่คิดว่าแฟนเพื่อนมันจะเอาหนูมาเป็นแพะ ไม่คิดว่ามันจะทำกับหนูได้ขนาดนี้ มันก็รู้ว่าหนูท้องอยู่ สองจิตสองใจหนูก็รักเพื่อนนะ จนกระทั่งตำรวจเปิดรถให้หนูเข้าไปในรถ เห็นมันนั่งถูกใส่กุญแจมืออยู่ในรถก่อนแล้ว”
“หนูต่อยแม่งเลยพี่ ทั้งๆ ที่ร้องไห้ ด้วยความโมโห ท้องอยู่ด้วย จนตำรวจต้องเอาหนูไปนั่งท้ายกระบะ”
ตำรวจที่สน. ก็รู้ว่าหนูไม่ได้ยุ่งกับยาแล้ว เพราะตั้งแต่ออกจากคุกเราก็ถูกคุมประพฤติ ตำรวจก็รู้ดี ไปหาเราตลอด ตรวจปัสสาวะทุกครั้ง แต่ตำรวจไม่รู้ว่าไอ้แฟนเพื่อนหนูจะเอาหนูมาเป็นแพะ แต่จนแล้วจนรอดหนูก็ต้องเข้าไปอยู่ในคุก เขาช่วยหนูไม่ได้ ตอนเที่ยงคืนหนูเห็นตำรวจปล่อยแฟนเพื่อนหนูไป หนูรู้ตัวเลยว่าไม่รอดแน่ ในหัวนี่คิดคำนวณอยู่ว่าจะติดคุกกี่ปี เพราะเป็นนักโทษชั้นเลว นักโทษมีมอ (มาตรา 92 นักโทษติดซ้ำ) ถ้าโทษสามปีเราต้องบวกไปอีกปีครึ่ง สรุป 3 ปี 9 เดือน”
“ก่อนหน้านี้หนูวางแผนไว้แล้ว ว่าหลังคลอดลูกเสร็จจะทำอะไรบ้าง บอกกับตัวเองว่าออกจากคุกแล้วลำบากแค่ไหนก็จะอดทน เราอยู่ในสังคมเดิม แต่เราไม่ได้ยุ่งกับยาเลย ชีวิตเรากำลังจะดีขึ้น แต่พอมาเจอเรื่องนี้ชีวิตมันพังทลาย

ในคุกเขาดูแลคนท้องเป็นพิเศษไหม
ชีวิตในคุกไม่เคยสบาย แต่ละคนมีพื้นที่เท่ากระเบื้องแผ่นเดียวต้องนอนเรียงกันคนท้องก็ไม่ยกเว้น หนูไม่มีใบชมพูมาด้วย (ใบชมพูคือใบตรวจครรภ์) แต่เราไม่มี ใครจะไปรู้ ว่ามันต้องตรวจ เราท้อง 5 เดือนแล้ว ห้องแคบมาก นอนขาชนกัน สามคืนแรกแทบไม่ได้นอนเลย นอนไปร้องไห้ไป เพราะความเครียด กับความแออัด กลิ่น เสียงกรน กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ ไม่รู้ผ่านมาได้ยังไง เคยคิดนะถ้าอยู่ไม่ได้ก็ตายไปเลยดีกว่า
แม้จะเคยมีประสบการณ์ในคุกมาก่อนแต่คราวนี้ต่างออกไป พลอยใช้ชีวิตในเรือนจำเพียงเพื่อรอวันออกจากคุก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นเธอต้องเอาตัวให้รอดพร้อมๆ กับลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาในอีกสี่เดือน เธอตั้งใจจะต้องเก็บเงินให้เพียงพอที่จะซื้อของใช้จำเป็นให้ลูก นมผง ผ้าอ้อม และของใช้จำเป็นอื่นๆ วันเวลาผ่านไปเธอรับทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
หนูนั่งคำนวณค่าใช้จ่ายแม่ลูกอ่อนว่าต้องใช้เงินวันละ 200-300 บาท ในคุกมีผ้าอ้อมขายแผ่นละสิบบาท นมกล่องละสามร้อย กินได้สองวันก็หมด หนูก็เริ่มทำงาน รับจ้างนวด มีพี่คนหนึ่งเหมาเราเลยเดือนนึงให้เรานวด บางครั้งก็มีคนเห็นใจเราที่จะต้องเลี้ยงลูกในคุกอย่างแม่แดง เขาช่วยซื้อนมให้หนูก็เอามาเก็บไว้ เราตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินอย่างเดียว ไม่คิดเรื่องอื่นเลย ใกล้คลอดเราก็เริ่มมีของเตรียมไว้บ้างแล้ว
วันที่คลอดลูกเป็นยังไง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย
หนูอยู่ในคุกจนกระทั่งเกือบจะคลอดเขาถึงให้ออกไปโรงบาลตอนกลางคืน ตอนนั้นตีสองตีสาม เจ้าหน้าที่เขาไม่เชื่อ เขาให้นาฬิกาแล้วให้สังเกตอาการปวดท้องเอง ถ้าไม่ถูกต้องเขาไม่ให้ไป ตอนไปหนูต้องนั่งท้ายรถกระบะที่มีลูกกรง ในชุดนักโทษ หิ้วถุงสัมภาระของลูก และมีตรวนข้อมือ
ที่โรงบาลเขาปฏิบัติกับหนูแย่มาก หรือเพราะหนูเป็นนักโทษ เขาไม่ช่วยเหลืออะไรเลย หนูเดินไม่ไหวจนทรุดลงกับพื้น ไม่มีแรงเดิน ปวดท้องมาก เขาบอกให้ลุกแล้วเดินต่อไป จนหนูเข้าห้องน้ำถ่ายเป็นเลือด หนูบอกพยาบาล บอกเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีใครสนใจ เหมือนไม่มีใครฟังว่าเราเจ็บ เราปวด เราไม่ไหวแล้ว
พอถึงเวลาเขาก็เอาหนูขึ้นเตียงให้น้ำเกลือแล้วก็ทิ้งให้นอนอยู่ตรงทางเดิน จนหนูปวดทนไม่ไหวรู้ว่าจะคลอด หนูกัดฟันเดินไปบอกเขาว่า หนูไม่ไหวแล้วคุณ หนูจะคลอด หนูรู้เพราะหนูท้องคนที่สองแล้ว
เขาดุหนู แล้วก็เข็นเข้าไปในห้อง พยาบาลถามประวัติ ใช้น้ำเสียงเหมือนกับหนูไม่ใช่ผู้ป่วย แต่เหมือนกับคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้า แล้วก็บอกว่า ‘ถ้าลูกเธอเป็นอะไร ฉันไม่มีเวลาไปศาลหรอกนะ’ หนูจำได้แม่นเลย เขาก็เดินมาตรวจช่องคลอด แล้วก็ปล่อยให้นอนอยู่อย่างนั้น พอหนูรู้สึกว่ามีลมเบ่ง หนูก็เบ่ง มันก็มีเสียงใช่ไหม พยาบาลก็บอกว่า ‘เบาๆ รบกวนคนอื่นเขา ห้ามใช้เสียง’ หนูเหนื่อยมาก น้ำก็ไม่ได้กิน แล้วหนูก็เบ่ง รู้สึกว่าลูกกำลังจะออก พยาบาลก็เดินมาดูสวมถุงมือยางมาข้างเดียว จังหวะนั้นลูกของหนูคงกำลังออกมาแล้ว เขาเลยทำคลอดหนูด้วยมือข้างเดียว ไม่กรีดฝีเย็บ ไม่ฉีดยาชา เขาเอานิ้วถ่างช่องคลอดหนู แล้วก็เอาเด็กออกมา ทุกอย่างระบมไปหมด หนูเจ็บมาก จนลูกออกมาแล้วเขาก็เย็บแผล ยาชาก็ไม่ฉีด เย็บสดๆ แบบนั้น เข็มทิ่มทีเราก็สะดุ้ง เขาคงรำคาญ ไม่เย็บต่อ แล้วก็บอกว่าที่เหลือให้แผลมันสมานกันเอง หนูก็ไม่มีอารมณ์โกรธหรอกนะ เพราะมันเหนื่อย มันเจ็บ จนไม่มีอารมณ์จะโกรธแล้ว พี่นึกออกไหมแผลหนูมันเป็นแผลฉีกขาดจากการคลอด โดยที่ไม่ได้กรีดนำไว้ก่อน
เขาให้นอนพักอยู่โรงบาลนานไหม
แค่น้ำเกลือหมดขวดประมาณ 8ชั่วโมง ถ้าหนูจำไม่ผิดนะ แล้วหนูก็กลับมานอนในคุก
หนูมีคำถามในหัวว่า คนท้องโดนแบบเราหรือเป็นเพราะหนูใส่เสื้อสีนี้เลยโดนทำแบบนี้
ผู้ต้องขังคนอื่นบางคนก็โดนแบบหนู บางคนก็ปกติ
แล้วเจอภรณ์ทิพย์ได้ยังไง
หนูคลอดลูกแล้วได้สองวัน พี่กรอฟ ก็ย้ายออกมาจากแดนแรกรับ
เขาเป็น นญ.วีไอพี คือไม่ใช่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษนะ แต่ถูกจับตามองใกล้ชิดตลอดเวลาโดยเจ้าหน้าที่
เขามาเล่นกับลูกหนู แต่สายตาที่เขามองลูกหนูมันแปลกๆ สายตาคนปกติไม่มองแบบนี้ จะมากินลูกเราหรือเปล่า
เขาเล่นกับเด็กไม่เป็น ตอนนั้นมีเด็กประมาณสามสิบกว่าคน แต่ไม่มีเด็กคนไหนกล้าเล่นกับเขา
บางวันแหย่นิ้วให้ลูกหนูกำเวลานอน แล้วลูกหนูก็ผวาแล้วก็ร้อง ร้องหนักมาก แต่เขาหัวเราะ
ต่อมาเขาก็ขยับมานอนติดกับหนูกับลูก นอนจับมือลูกหนูทุกวันเลยเริ่มสนิทกัน
เราก็คุยกัน สนิทกันมากขึ้น บางทีมีปัญหาก็ปรึกษากัน ความรู้หนูน้อยเวลาเจอโจทย์ใหญ่ๆ มาหนูก็ไปปรึกษาเขา
ส่วนเขาก็ปรึกษาหนูเรื่องชีวิตในคุกแล้วก็เรื่องก่อกวนคนอื่น ความที่พี่กรอฟผูกพันกับลูกเรา เขาก็เอาไปเล่าให้ญาติเขาฟังจนผูกพันกันเข้าไปอีก จนเขาอยากจะรับลูกของหนูไปอุปการะ
หลังจากมีลูก หนูก็ไม่มีเวลาว่างเลย ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อเก็บเงินไว้ให้ลูกเมื่อถึงเวลาส่งเขาออกไปข้างนอก
พี่กรอฟเห็นหนูต้องหางานทำ รับจ้าง เก็บเงินซื้อผ้าอ้อมให้ลูก เขาก็จ้างหนูทำโน่นนี่ คือไม่ได้ช่วยฟรีๆ แต่ช่วยให้งานหนูทำ แล้วบอกว่าจะช่วยให้นมลูกเราเดือนละกล่อง เขาไม่เข้ากลุ่มไหน ชอบอยู่กับเด็กๆ
แล้ววันที่ส่งลูกออกมาเป็นยังไง
ถึงเวลาที่ต้องส่งลูกออกไปนอกเรือนจำ หนูตัดสินใจแล้วว่าจะส่งลูกไปมูลนิธิพระพร (สถานที่รับเลี้ยงเด็ก) เพราะไม่สามารถติดต่อญาติให้มารับได้ แต่หนูก็มีคำถามนะว่าเด็กที่อยู่มูลนิธิมีความสุขจริงๆ เหรอวะ เพราะเท่าที่เคยเห็นเด็กที่อยู่ที่นั่น แววตาของเด็กไม่มีความสุขเลย พี่กรอฟเคยวางแผนอยากอุปการะลูกหนูตอนที่จะต้องส่งออกไปข้างนอกคุก แต่ก็ไม่สำเร็จ โชคดีที่สัปดาห์สุดท้ายเจ้าหน้าที่ฯ มาบอกหนูว่าไม่ส่งลูกหนูไปมูลนิธิฯ แล้วนะ เพราะติดต่อไปครั้งสุดท้ายแล้วพ่อของเด็กยินยอมมารับ
วันที่ส่งลูกออกไปข้างนอก วันนั้นหนูจำไม่ได้ว่าเป็นวันที่ต้องส่งออกไป เรานั่งเล่นอยู่กับลูกจนเขาประกาศชื่อเรา เราถึงรู้ว่าคือถึงเวลาแล้ว น้ำตาไม่ไหลนะ แต่มันหวิว มันถึงวันนี้จริงๆแล้วเหรอ เพื่อนในห้องเฮเลย ดีใจ แต่เราเงียบเลยนะ ลูกเราจะไปแล้ว คืนนี้เราต้องนอนคนเดียวแล้วใช่ไหม
หนูบอกกับลูกว่า ‘หนูไปอยู่ข้างนอกแล้วอย่าดื้อนะลูก’
เขาให้หนูส่งได้แค่ประตูชั้นใน ไม่ให้ไปส่งถึงประตูชั้นนอก พอพ้นประตูก็ได้ยินเสียงน้องร้องสะท้อนก้องกลับมา
หนูมองเขาจนสุดตา เขาก็มองกลับมา พอพ้นประตูหนูก็ไม่เห็นแล้ว ได้ยินแต่เสียง
หนูกลัวว่าเขาจะร้องไม่หยุด ใจมันจะขาด
หนูออกไปไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนั้นจนเจ้าหน้าที่ที่อุ้มน้องออกไปเดินกลับมา
หนูถึงวิ่งเข้าไปถามเขา เขาบอกว่าน้องไม่ให้พ่ออุ้มเลย เกาะเจ้าหน้าที่แน่นไม่ยอมปล่อย จากวันนั้นหนูก็ไม่ได้ข่าวอะไรอีกเลย”
ชีวิตที่ไม่มีลูก เป็นยังไงบ้าง
เคว้งไปพักนึง แต่หนูไม่ร้องไห้นะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะทำใจไว้แล้วตั้งแต่วันแรก เราบอกตัวเองว่าเรามีเวลาหนึ่งปีจากนั้นลูกจะไม่อยู่กับเราแล้ว
เวลาในคุกมันเหลือ ไม่ต้องรีบ แต่ชีวิตเหมือนขาดอะไรไป มันเหงา มันเงียบ ไม่ต้องตื่นมาดูลูก แต่หนูก็ตื่นนะมาดูเด็กคนอื่นแทน จนเขาให้หนูช่วยดูแลเด็กคนอื่นๆ
คิดถึงลูกว่าตอนนี้เป็นไงบ้าง ทำอะไรอยู่ เราก็คิดนะว่าเขาจะเอาพ่อเขาไหม เพราะเขาไม่เคยรู้จักคนอื่น หนูเขียนจดหมายแต่ไม่เคยมีใครตอบกลับ หนูเลยไม่เขียนอีกเลย จนพี่กรอฟออกจากคุกแล้วไปเยี่ยมถ่ายรูปส่งมาให้ดู หนูก็เริ่มมีหวัง เริ่มส่งเงินไปให้ลูกเพราะเราไม่รู้ว่าลูกจะไปอยู่กับใคร แต่ถ้าเราส่งเงินไปให้คนที่ดูแลลูก เขาก็คงดูแลลูกเราดีขึ้น หนูก็บ้าทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ส่งออกไปให้มากที่สุด ชีวิตของหนูในคุกก็มั่นคงขึ้น คิดอย่างเดียวว่าจะหาเงินได้ยังไงบ้าง คิดว่าอยู่เพื่อหาเงินไม่ได้อยู่เพื่อเป็นนักโทษ
ไม่กี่เดือนต่อมาแฟนพาลูกกลับมาเยี่ยมแต่ลูกจำเราไม่ได้แล้ว อยู่กับหนูมาหนึ่งปีแต่เป็นช่วงที่ยังไม่มีความทรงจำอะไร ลูกไม่คุยกับหนู หนูร้องไห้เลย ‘เราคิดถึงเธอแทบตาย แต่เธอจำเราไม่ได้ ไม่มีเรื่องราวของเราอยู่แล้ว’
จนพ่อเขาต้องบอกว่านี่คือแม่ หลังๆต่อมาลูกก็เริ่มเรียกหนูว่าแม่ แต่ก็ยังไม่คุยกับหนู

พลอยออกจากคุก ตอนลูกอายุเท่าไหร่
หนูออกจากคุกเดือนตุลา ปี 61 ลูกอายุ 4 ขวบ
หนูก็คิดว่าจะไปหาลูกดีไหม หรือปล่อยให้เขามีชีวิตที่ไม่มีเราต่อไป
ทิ้งความทรงจำของเราไป ไหนๆ ก็ลืมเราไปแล้ว
แต่มันก็อดไม่ได้ เขาเป็นลูกเรา ออกมาวันแรกหนูก็ไปหาเขาเลย
นอนด้วยกันวันแรก เราเหมือนคนแปลกหน้า นานมากที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ต้องมาเรียนรู้เขาใหม่ ทุกวันนี้ก็ไม่ถูกกัน ความผูกพันมันขาดหายไป เราเป็นแม่เราก็ต้องทำใจ
ลูกเคยถามว่า ‘ทำไมหนูออกมาก่อน แล้วแม่ไม่ออกมา’ ‘ทำไมหนูต้องไปอยู่ในนั้น’ หนูก็เล่าให้ฟังบางส่วน บางส่วนก็แต่งขึ้นมา
คำว่า ‘คุก’ หนูไม่ได้บอกความจริง เขาไม่เข้าใจว่าคุกคืออะไร
หนูบอกว่าคุกคือที่ทำงานของแม่ แต่สักวันหนึ่งเขาก็จะเข้าใจเอง
ตอนนี้หนูอยากให้เขามีความทรงจำดีๆ ไว้ก่อน แล้ววันหลังเขามาถามหนู หนูก็จะเล่าให้เขาฟัง
ตอนนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้ชีวิตก็ปกติ รับนวดตามบ้าน
เรียนที่ไหนมา
เรียนตอนอยู่ในคุก เขาให้ใบประกาศฯ มา แต่หนูไม่ใช้ เพราะเกรดมันต่ำ มันทำให้หนูดูเป็นคนไม่ดี
หนูไปเรียนเพิ่มเติม แล้วก็ใช้ใบประกาศฯ ใบใหม่
สัมภาษณ์วันที่ 26022021
ศุภชัย เกศการุณกุล