top of page

วีรพร นิติประภา

Updated: Nov 27, 2019


ผมรู้จักพี่แหม่มครั้งแรกในฐานะที่เธอเป็นดีไซเนอร์เครื่องประดับอันอลังการ แปลก และไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สถานะเพียงแค่ยกมือไหว้สวัสดีด้วยความนับถืออยู่อย่างนั้น เจอที่ไรก็ยกมือไหว้แล้วเดินจาก อยากคุยแต่ไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอดี เพราะแม้เธอจะมีรอยยิ้มส่งกลับมาให้เสมอมา แต่ความรู้สึกที่ว่าเธอเป็นคนแรงๆ ประกอบกับผมฟูๆปากแดงๆและชุดดำๆ ทำให้ผมไม่กล้าเดินเข้าไปคุยกับเธอ ผมคิดว่าคงจะมีคนไม่รู้จักน้อยคนที่จะกล้าเดินไปคุยกับเธอโดยไม่มีใครแนะนำ มันเป็นรังสีบางอย่าง อาจไม่ใช่รังสีอำมหิตที่แผงด้วยรังสีการฆ่าฟันแบบนิยายจีนกำลังภายในของเหล่ายอดฝีมือในยุทธจักร กลับเป็นรังสีที่ดึงดูดให้เราอยากรู้จัก ขณะเดียวกันก็มีแรงผลักดันอ่อนๆเตือนว่าอย่าพึ่งเดินเข้าไป



อย่างไรก็ตาม 3-4 ปีก่อนหน้านี้โดยบังเอิญ เหมือนเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ผมได้รู้จักพี่แหม่ม และได้คุยกันทุกวันเสาร์-อาทิตย์ติดต่อกันเกือบปี บ่ายร้อนของวันหนึ่งผมเดินไปจตุจักรเพราะกำลังหาที่เปิดร้านขายของ และบังเอิญไปพบเธอซึ่งกำลังมองหาในสิ่งเดียวกัน เธอถามผมว่ามันมีอยู่สองร้านติดกัน เอาไหม ผมตกปากรับคำในทันที ไม่นานวันผมกับพี่แหม่มก็เปิดร้านเคียงกันที่จตุจักร


พี่แหม่มขายเครื่องประดับอันน่าตื่นตาตื่นใจนั้น ส่วนผมขายภาพถ่าย เราคุยกันหลายเรื่องทั้งเรื่องการทำงาน การสร้างงาน ความคิด การเมือง หนังสือ และภาพยนตร์ พี่แหม่มเป็นคนรอบรู้ ทั้งกว้างในศิลปะแขนงต่างๆ เธอเป็นนักอ่านหนังสือ นักดูภาพยนตร์ นักฟังเพลง และนักสังเกตุการณ์ทางสังคม - จึงไม่แปลกใจเลยว่าในหนังสือไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต แม้จะฉาบเคลือบไปด้วยความร้าวระทมของความรัก แต่อัดแน่นในบรรยากาศไปด้วยประสบการณ์และความสนใจของเธอ


เกือบทุกสัปดาห์ผมจะมีรูปใหม่ๆมาให้เธอดูและรอฟังความเห็นของเธอ พี่แหม่มแนะนำเรื่องการถ่ายภาพของผมหลายเรื่องโดยยกตัวอย่างผลงานของช่างภาพชาวต่างประเทศ และชาวไทย เพราะเธอเคยทำงานครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา และบรรณาธิการนิตยสาร เธอเล่าให้ฟังถึงเนื้อเพลงที่น่าสนใจ บทกวีที่อยากให้อ่าน และหนังสือที่อยากให้ศึกษา เธอให้ผมยืมดีวีดีหนังฝรั่งเศสในตำนานเมื่อผมบอกเธอว่าผมเป็นนักเรียนภาพยนตร์ทั้งในกรุงเทพ และปารีส แต่ไม่เคยดูภาพยนตร์อันเป็นหลักไมล์ของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ Un Homme et Une Femme (Claude Lelouch, 1966) ทั้งย้ำว่าเก็บไว้เลยน้อง ไม่ต้องเอามาคืน เรียนภาพยนตร์ยังไง ไม่เคยดูหนังเท่ๆเรื่องนี้


นอกจากประสบการณ์ ความรู้ที่เธอส่งต่อให้เรียนรู้ทางลัด เธอยังแบ่งบุหรี่ให้สูบ แบ่งเหล้าให้กิน

ความรู้ของเธอดิ่งลึกลงไปในศิลปะแต่ละแขนงที่กล่าวมา เธอตำหนิ แนะนำ และเชียร์อัพให้ผมสร้างงานที่เป็นตัวของตัวเอง กระนั้นเธอยังสอนว่าการค้าขายก็สำคัญ อย่าตีสท์มากนัก ทั้งยังตักเตือนว่าอย่าเอาแต่ชอบอย่างเดียว การสร้างงานศิลปะมันจบไปตอนที่เราสร้างงาน และมันอยู่ในตัวเรา ส่วนการขายก็ต้องขายอย่าไปยึดติดกับตัวเอง


มันเป็นช่วงเวลาที่เพลิดเพลิน เจริญใจอย่างยิ่ง แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว หลายครั้งหลายหนผมไม่อยากไปเฝ้าร้านเพราะอากาศร้อนอบอ้าว และการที่ต้องไปรอลูกค้าที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่เป็นเรื่องที่บั่นทอนความรู้สึกอย่างยิ่ง แต่การได้ไปนั่งคุยกับพี่แหม่มเป็นเรื่องที่ผมเฝ้ารอ และผมสมัครใจที่จะฟังเรื่องราวที่เธอเล่า พูดก็พูดเถอะการได้พูดคุยกับเธอเป็นสิ่งที่ผมรอเหมือนกับรอดูหนังการ์ตูนช่องเก้าทุกเช้าวันเสาร์สมัยเป็นเด็ก


หนึ่งปีกว่าๆผ่านไปเศรษฐกิจเริ่มย่ำแย่ ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นการเมืองใด เพราะมันเกิดวนเวียนซ้ำซากจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ร้านขายงานศิลปะในจตุจักรเริ่มขายไม่ดี เราคิดที่จะเลิกราและไปดิ้นรนหาอย่างอื่นทำ ตอนนั้นผมเห็นพี่แหม่มเริ่มไม่พูดคุย วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ และพก Laptop มาด้วย แกบอกว่ากำลังเขียนหนังสือ จะส่งประกวดเรื่องสั้น ขณะนั้นผมรู้ว่าเธอเคยเป็นบรรณาธิการของนิตยสาร Hyper นิตยสารที่ล้ำสมัยมากๆเมื่อสมัยผมจบมหาวิทยาลัย และเริ่มทำงานใหม่ๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเคยเป็นนักเขียนและเขียนเรื่องสั้นได้รางวัล


ถ้าเข้าใจไม่ผิดนั่นคงเป็นช่วงเวลาที่พี่แหม่มเริ่มเขียน ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต

เราไม่ได้เจอกันหลายเดือน อาจเป็นปี ค่ำวันหนึ่งพี่แหม่มโทรมาบอกว่าหนังสือใหม่ของเธอออกแล้ว และส่งมาให้อ่านทางไปรษณีย์ ผมรอด้วยใจจดใจจ่อ และเมื่อหนังสือเดินทางมาถึงผมแกะออกมาดูอย่างเด็กรอของเล่น ด้วยความอยากรู้ว่าตัวหนังสือของพี่แหม่มจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง


ผมอ่านหนังสือของเธอก่อนนอน 3-4 คืนก็จบ ผมจำเรื่องราวของหนังสือได้น้อยมาก แต่ที่ผมคงจะจำได้ไม่ลืมไปอีกหลายปี และความจำนี้คงผุดขึ้นมาทุกครั้งเมื่อพูดถึงไส้เดือนตาบอดฯคือบรรยากาศ และรายละเอียดของมัน หากบอกว่าผมมีความตั้งใจให้ภาพถ่ายของผมมีอากาศอยู่ในภาพ หนังสือเล่มนี้คงบรรลุความตั้งใจในแบบที่ผมต้องการจะทำ ผมนึกถึงอากาศที่ห่อหุ้มเรื่อง แสงแดด กลิ่นดอกไม้ เสียงเพลงบรรเลงอยู่เป็นแบ็คกราวน์ บางคราวเป็นตัวละครหลัก เสียงกระซิบ และหยาดน้ำตา คล้ายกับว่ามันเป็นหนังสือในนิทานซึ่งเปิดออกมาแล้วมีแสงเรืองๆพร้อมที่จะดึงดูดผู้อ่านเข้าไปเมื่อเปิดหนังสือ

ใช่เป็นเรื่องราวอันร้าวระทม ล่องลอย เลือนราง


ขณะอ่านผมนึกถึงภาพยนตร์หลายเรื่อง ภาพยนตร์ของ Terrence Malick เรื่อง To the Wonder (2012) เป็นหนึ่งในนั้น



เมื่อตกลงใจได้ว่าวรพจน์จะสัมภาษณ์เธอลง Writer ผมรับหน้าที่นัดหมายเวลา และสถานที่

เป็นความแน่นอนว่าผมไม่ถ่ายรูปเธอในสตูดิโอแน่ๆ ผมอยากถ่ายภาพในสถานที่ที่เป็นฉากหลังของไส้เดือนตาบอดฯ ที่มีบรรยากาศโอบอุ้มอยู่ในระหว่างถ่ายภาพ มีสายลมเอื่อย แสงแดดฟุ้งยามสาย ต้นไม้นานาพันธุ์ เพลงคลาสสิคอันรวดร้าวลอยล่องอยู่ในอากาศ ควันบุหรี่จางๆ เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยพึมพัม คลื่นเล็กๆกระทบฝั่ง และอาจจะมีเสียงลมที่พัดต้องใบไม้จางๆ


ความอยากของผมคงไม่มากเกินไป เพราะพี่แหม่มต้องการอย่างเดียวกัน

ผมกับพี่แหม่มจึงช่วยกันนึกหากันหลายสถานที่ จนมาจบลงที่บ้านริมแม่น้ำนครชัยศรี ที่ๆเจ้าของบ้านยืนยันว่ามันคลับคล้ายกับที่เกิดเหตุในนิยายอย่างยิ่ง


คำถามที่ผมต้องการหาคำตอบคือ ผมจะถ่ายภาพพี่แหม่มที่ผมรู้จัก กับนักเขียนที่ชื่อวีรพร นิติประภาอย่างไร คนแรกเป็นพี่สาว เป็นดีไซเนอร์ผู้มีพลังสร้างสรรค์ ปากร้ายใจดี คนหลังเป็นนักเขียนผู้ร้าวราน ที่ผมพึ่งรู้จักผ่านตัวหนังสือ

ผมคิดไม่ออก


บ่ายร้อนอ้าวของวันที่ 23 เมษายน ผมจำวันนี้ได้ดี

เรานัดพบกันที่ร้านกาแฟในโรงแรมย่านบางลำพู เธอปรากฏตัวด้วยชุดสีดำเหมือนเคย ตั้งแต่พบกันครั้งแรกเธอก็อยู่ในชุดสีดำมาตลอด น้อยครั้งที่จะเป็นสีขาว ผมฟูไม่เปลี่ยนแปลง แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนแว่น เรานั่งคุยกันพักนึงก่อนจะขับรถตามกันไปที่บ้านริมน้ำนครไชยศรี


เมื่อไปถึงอากาศร้อนหนักด้วยความชื้น เนื้อตัวเหนียวด้วยเหงื่อที่ซึมออกมา เราเดินดูรอบบ้านและค่อนข้างพอใจกับบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว แต่ไม่ใช่อากาศอันผ่าวร้อนนั้น


เมื่อหายเหนื่อย เราเร่ิมคุยกันผ่านการบันทึกเทปใต้ศาลาริมน้ำที่ลมพัดเอื่อย แม่น้ำเงียบสงบ มีเรือพายผ่านไปสองสามลำเงียบๆ ตรงข้ามอีกฟากของแม่น้ำมีต้นไม้ขึ้นเขียวคลึ้ม ตลิ่งปลูกผักบุ้งเป็นแพ ลอยขึ้นลงตามคลื่นที่มีมาเป็นพักๆ เมฆขาวบางๆปกคลุมฟ้าของฤดูร้อน


บทสนทนาไหลลื่นเหมือนเคย จากการย้อนรำลึกถึงวัยเยาว์ และเหตุการณ์ที่ก่อร่างสร้างตัวตนของพี่แหม่ม แม้จะรู้จักกันมานานแต่ผมไม่เคยรับรู้อดีตบางเรื่องที่เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เป็นตัวเธอในวันนี้ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจความเป็นมาของเธอมากขึ้น การไปใช้ชีวิตคล้ายฮิปปี้ในวัยทีนที่ออสเตรเลีย กระทั่งการเป็นบรรณาธิการหญิงของหนังสือโป๊ผู้ชายแห่งยุค เล่มที่ผมไม่คิดจะหยิบขึ้นมาดูมีเธออยู่เบื้องหลัง


ขณะที่ผมเตรียมอุปกรณ์กล้อง และเครื่องวัดแสง ผมแว่วเสียงอธิบายถึงงานศิลปะ

เธอหันมายกตัวอย่างการถ่ายภาพของผม ว่าการเลือกใช้ฟีล์มแต่ละชนิด หรือการเลือกใช้กล้อง135 หรือกล้อง120 เป็นภาษาภาพที่ช่างภาพเลือกแล้วว่าจะเล่าเรื่องผ่านภาพของเขาด้วยน้ำเสียงเช่นไร เช่นเดียวกับเชฟที่ใช้มีดต่างกันในการแล่เนื้อต่างชนิดกัน - ใช่ไหม


คลิ๊ก - เสียงกล้องดิจิตอลในมือผมส่งเสียงเบาๆ แบบไม่หวังผล ผมกำลังทำความคุ้นเคยกับเธอ และแสงที่สะท้อนจากแม่น้ำ ด้วยเลนส์ระยะ 50มิลิเมตรตัวเดิม ตั้งไว้ที่ iso 320 ส่วนกล้องมิเดียมฟอร์แมทติดเลนส์ 100มิลิเมตรตัวเดิมอีกเหมือนกัน กับแบล็คแอนด์ไวท์ฟิล์ม iso 400


คราวนี้ผมตั้งใจจะถ่ายภาพเธอแบบลอยๆ ฟุ้งๆ ย้อนแสงหน่อยๆ ผมคิดว่าเหมาะกับเรื่องราวของเธอดี

แต่อาจจะยากหน่อยเมื่อต้องพิมพ์บนกระดาษซึ่งต้องการความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าควบคุมน้ำหนักไม่ดี สีจะตุ่นๆ ไม่คม และดูหมอง แทนที่จะได้อารมณ์แบบลอยๆ ฝันๆ เบาๆ

ที่สำคัญผมได้รับคำกำชับจากนักเขียนหญิงว่า "อย่าลืมรีทัชร่องรอยบนใบหน้าให้พี่ด้วยนะคะ"


"ถ้าน้องทำไม่เป็น สแกนฟีล์มแล้วส่งมา เดี๋ยวพี่ทำสวยเอง"


ผมรู้ว่าเธอไม่ชอบสีผิวนวลเนียนไร้ราคีและวันเวลาแบบพลาสติกนั่นหรอก เธอเพียงต้องการบรรยากาศการทำงานแบบไม่จริงจังเกินไป เป็นงานเป็นการเกินไป การทำงานด้านภาพนอกจากลบฝุ่น ปรับน้ำหนัก และแก้สีแบบเบสิคแล้ว ผมใช้โปรแกรมแต่งภาพแทบไม่เป็นเลย ผมจึงคิดว่าจะแสดงฝีมือการรีทัชด้วยการทำให้ไม่มีฝุ่นติดบนหน้าของเธอน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำได้

พี่แหม่มน่าจะพอใจกับความพยายามนี้


การคุยกันค่อนข้างเหนื่อยเพราะอากาศที่บั่นทอนความสดชื่นของเราไปบางส่วน แม้สมาธิยังมีและความสนุกในการพูดคุยยังต้องการจะให้ไหลลื่นต่อไป แต่ไยต้องฝืน


วรพจน์ ผู้สัมภาษณ์ขอพักครึ่ง และเป็นการพักที่เราต้องเลื่อนการสัมภาษณ์ครึ่งหลังออกไปอย่างไม่มีกำหนด


ผมเข้าใจว่าระหว่างการสัมภาษณ์พี่หนึ่งอาจไม่มีสมาธิ เพราะเขาบอกว่าโทรศัพท์ที่ตั้งโหมดสั่นไว้ทำงานตลอดเวลา เหมือนมีเรื่องสำคัญที่รอให้เขาตอบรับโทรศัพท์


บนหินก้อนใหญ่ที่สนามหญ้า พี่หนึ่งนั่งหมดแรงคอตกอยู่นั้นเขาบอกข่าวร้ายต่อเรา

ใบหน้านั้นเรียบเฉย เหมือนไม่รู้จะแสดงอารมณ์อะไรออกมา เสียงบอกเล่านั้นราบเรียบ ลอยมาช้าๆในอากาศที่สงบนิ่ง แล้วเสียงรอบตัวที่เงียบสงบอยู่แล้วเหมือนจะเงียบลงไปอีก


ผมจดจำวันนั้นได้ดี


เมื่อวางตาแนบลงบนวิวฟายเดอร์ โลกทั้งโลกเหมือนไม่สำคัญกว่าสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ข่าวร้ายถูกเก็บซ่อนไว้ในหัวใจอีกซีกหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การทำงานถ่ายภาพของผมยังดำเนินต่อไป พร้อมๆกับอาการคล้ายชาๆ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร งงงง สับสน พี่แหม่มคงรู้สึกไม่ต่างกัน มันคล้ายๆอาการของโรคที่ยังไม่สำเเดงหลังการได้รับเชื้อโรค


ผมทำงานด้วยจังหวะช้าๆเป็นนิสัย จากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่ง คราวนี้ถ่ายภาพทั้งดิจิตอล และฟิล์ม

การได้ถ่ายภาพคนที่เรารู้จักช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น ผมขอให้เธอทำบางอย่างที่ผมเคยเห็นรู้จักคุ้นเคยโดยไม่เกรงใจเกินไปนัก ทั้งยังมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันการทำงานจึงราบรื่น แม้ว่าในบ่ายวันนั้นจะมีอากาศหนักๆกดทับอยู่ก็ตาม


ผมชอบมุมกว้างๆเห็นต้นไม้ เห็นอากาศ ความว่างเปล่า เห็นแววตา และความเศร้า


มันเป็นความเศร้าที่แวะเข้ามาอย่างถือวิสาสะ


*เผยแพร่ครั้งแรกที่นิตสารไรท์เตอร์

ภาพพอร์ทเทรทและความเรียง | ศุภชัย เกศการุณกุล

707 views0 comments

ความคิดเห็น


bottom of page